นายวิทยา ฦาชา หรือคุณแจ็ค อยู่บ้านเลขที่ 28 หมู่ 6 บ้านหนองแต้ ต.บ้านยาง อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ กล่าวว่า หลายคนฟังแล้วคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสวนแบล็คเบอร์รีในเมืองไทยที่มีอากาศร้อนจัด ด้วยคิดว่าพืชตระกูลเบอร์รีทั้งหลาย เช่น สตอเบอร์รี มัลเบอร์รี บลูเบอร์รี ลาสเบอร์รี รวมทั้งแบล็คเบอร์รี น่าจะเป็นผลไม้เมืองหนาว หรือในพื้นที่มีอากาศเย็นจัด จนวันหนึ่งมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศเกาหลีในฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นจนหิมะตกขาวโพลนไปหมด ได้ไปชมสวนผลไม้ของเขาที่อยู่โรงเรือน เป็นสวนสตอเบอร์รีและแบล็คเบอร์รี ยิ่งดูยิ่งแปลกใจที่ในโรงเรือนปรับอุณหภูมิ 35 องศา ซึ่งเท่ากับอากาศปกติของเมืองไทยเรา ดังนั้นบ้านเราก็น่าจะปลูกได้ จึงหมายมั่นที่จะนำต้นแบล็คเบอร์รี มาปลูกบ้านเราให้ได้ หลังประสบภาวะวิกฤตจากโรคโควิด-19 ที่ระบาดรุนแรง และเบื่อการทำงานในกรุงเทพมหานครที่ทำมา ถึง 10 ปี จึงหันหลังกลับมาบ้านเกิด เริ่มต้นทำงานตามทำความฝันของตนเอง เริ่มต้นศึกษา ค้นคว้า และลงมือทำสวนหลังบ้านตนเอง ซึ่งมีที่ดินว่างเปล่าของแม่ ประมาณ 1 ไร่เศษๆ เริ่มปลูกสะตอเบอรรี่ และแบล็คเบอร์รี ปลูกโดยการยกร่อง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ตลอดจนการไปหาแหล่งเรียนรู้ ศึกษาถึงการคัดเลือกพันธุ์จากศูนย์วิจัย และแล็ปต่างๆหลายที่ เป็นระยะเวลานานพอสมควร จึงตัดสินใจสร้างห้องแล็ป ผสมพันธุ์และเพาะเนื้อเยื่อเองที่บ้าน ทั้งคัดเลือกพันธุ์และขยายพันธุ์ เอง เนื่องจากแบล็คเบอร์รีขยายพันธุ์ด้วยวิธีการอื่นเช่นตอน หรือชำ จะได้ผลน้อยและกลายพันธุ์ การเพาะเนื้อเยื่อจะได้ไม้ที่เหมือนต้นพันธุ์เดิม ไม่กลายพันธุ์ มีรสชาดคงที่ โตเร็ว
ปัจจุบัน คุณแจ็คใช้พันธุ์แบล็คเบอร์รีของตนเอง ที่ผสมจาก 3 สายพันธุ์ ได้พันธุ์ที่มีคุณภาพโดดเด่น คือ ไร้หนาม มีความแข็งแรง ทนโรค ผลดก รสดีหวานอมเปรี้ยว และออกผลตลอดปี ชื่อเป็นทางการยังไม่ได้ตั้ง แต่เรียกว่า “ใบหนา ไร้หนาม ลูกดก” แบล็คเบอร์รีเป็นไม้ที่มีลำต้นติดพื้นดิน มีกิ่งงอกยาว และออกดอกผลตามยอดของกิ่งที่ออกใหม่เสมอ การปลูกก็ไม่ยาก แบล็คเบอร์รีชอบดินร่วนปนทราย ไม่ต้องยกแปลง ขุดหลุมระยะห่างประมาณ 2 คูณ 2 เมตร เพียงจอบเดียวใช้แกลบผสมขุยมะพร้าวรองก้นหลุม แล้วนำต้นพันธูลงปลูก แบล็คเบอร์รี เป็นไม้รากตื้น จึงไม่ถอนหญ้า แต่ตัดหญ้าเหมือนสนาม กิ่งจะทอดยาวไปกับพื้นและกอหญ้าเพื่อให้หญ้าและวัชรพืชป้องกันแมลงไปตามธรรมชาติ เนื่องจากจะไม่ใช้สารเคมีฉีดพ่นหรือป้องกันแมลงเลย ส่วนปุ๋ยก็ผสมเองเป็นปุ๋ยหมักจากฟางข้าว เศษใบไม้ลูกเบอร์รีที่เน่าเสีย ปุ๋ยคอก ใช้พด.ของจากแม่โจ้ช่วย ระยะหลังใช้น้ำหมักจากผลเบอร์รีที่เน่าเสียช่วยอีกแรงหนึ่ง ดังนั้นแบล็คเบอร์รีจากสวนนี้จึงเป็นแบล็คเบอร์รีปลอดสารร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากกิ่งเริ่มมีดอกจึงทำค้างให้กิ่งได้เกาะโดยใช้เชือกผูกไว้ และผลจะเก็บได้ใน 3-4 สัปดาห์ (เมื่อออกดอกได้1 สัปดาห์จะมีลูกสีเขียวๆ อีก1สัปดาห์ตรงกลางแดง ต้องรออีก 2 สัปดาห์ให้ลูกเป็นสีดำหมดจึงจะเก็บได้ รสจะหวานอมเปรี้ยวนิดๆถ้าลูกมีสีแดงอยู่จะเปรี้ยวมาก) ราคาขายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 1000 บาท หรือ แบ่งใส่ กล่องเล็กๆ 9-10 ช่อ(100 กรัม)ราคากล่องละ 100 บาท โดยส่งที่ ห้างท๊อบวัน ห้าง เซ็นทรัล และอื่นๆมีส่งลูกค้าที่สั่งทางเพจ นิดหน่อย ขายส่งเพียงอย่างเดียวไม่สามารถส่งตลาดอื่นๆได้เนื่องจากผลผลิตไม่พอขาย
นายวิทยา ฦาชา หรือคุณแจ็ค เล่าต่อว่า ปัจจุบันสวนหลังบ้านที่ตนอาศัยอยู่นี้ มีต้นแบล็คเบอร์รีปลูกและให้ผลอยู่ประมาณ 150 ต้น แต่สวนที่ขยายไปใหม่ 20 ไร่ นั้น ได้ลงแบล็คเบอร์รี่ไว้ 2,000 ต้น นอกจากนี้ยังได้เพาะขยายพันธุ์พืชอื่นด้วย เช่น สตรอว์เบอร์รี มัลเบอร์รี องุ่น ไม้เมืองหนาว และ พันธุ์ไม้นิยมต่างๆเช่นกล้วยด่าง เป็นต้น ส่วนแบล็คเบอร์รีพันธุ์ “ใบหนา ไร้หนาม ลูกดก” ที่ตนเองผสมเอง ปลูกเอง ยังไม่ขาย ขอพิจารณาก่อน อยากให้เป็นพันธุ์ที่ผลิตและขายให้คนไทยเท่านั้น ช่วงนี้มีการขยายลูกสวน อยู่ประมาณ 5 ราย แต่ก็ต้องเคร่งครัดและเน้นคุณภาพอย่างมาก อนาคตการพัฒนาผลิตผลและผลิตภัณฑ์ของแบล็คเบอร์รี ตั้งใจจะพัฒนาเป็นน้ำแบล็คเบอร์รีเป็นไวน์ หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่น่าสนใจ ส่วนการทำแยมต้องใช้ผลแบล็คเบอร์รีมาก จึงน่าจะเป็นประเด็นสุดท้าย(เพราะขายสดก็ไม่พออยู่แล้ว) หลังจากนั้นน่าจะทำร้านช็อบเล็กๆ เปิดบริการพี่น้องบ้านเรา และนำสินค้าจากสวนเราไปเป็นองค์ประกอบ เช่น ร้านกาแฟ เป็นต้น จึงขอฝากให้กำลังใจน้องๆคนไทยทุกคน จะทำอะไร ขอให้คิด ทำ นอกกรอบบ้าง อย่ามุ่งทำตามอย่างเดียว ขอให้มีความตั้งใจ มุ่งมั่น งานจะประสบความสำเร็จแน่นอน