จิตนั่นแหละเป็นแก่นของชีวิต โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

567

พุทโธ พุทโธ เป็นยอดกรรมฐาน การภาวนาพุทโธๆ ในใจบ่อย ทำให้ใจเย็นสบาย จิตใจเบิกบานผ่องใส พุทโธ คือเป็นผู้ที่ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว ตื่นที่ว่านี้ ก็คือการตื่นจากความหลง ไม่หลงใหลไม่เชื่ออะไรที่งมงาย “สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์เท่านั้น บางทีก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้นคนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้ว ก็เป็นทุกข์นั่นแหละ มากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”

นี่เป็นคำสอนของ พระสุธรรมคณาจารย์ หรือที่รู้จักกันในนาม หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ อดีตเจ้าอาวาสวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

หลวงปู่เหรียญ ได้ออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ รวมทั้งประเทศพม่าและลาว เพื่อแสวงหาความวิเวกสำหรับการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ระหว่างที่ธุดงค์อยู่นั้น หลวงปู่ยังได้ไปเรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อีกด้วย

โดยวิชาวิปัสนากรรมฐานของหลวงปู่มั่นนั้น ได้เน้นย้ำนอกจากให้ตัวเราพิจารณาร่างกายให้เป็นอารมณ์แล้ว ตั้งใจถามตอบตัวเองว่า ร่างกายเป็นของเราหรือไม่ เมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นของเกิดของตายของดับ เป็นของไม่แน่นอน และจิตนั่นแหละก็จึงเป็นแก่นของชีวิต

หลวงปู่เหรียญท่านก็ได้นำคำสอนต่างๆ มาสอนเป็นธรรมะให้กับญาติโยมผ่านช่องทางการพระธรรมเทศนาอย่างต่อเนื่อง และท่านได้อนุญาตให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว “คม ชัด ลึก” ดังนี้

หลวงปู่เคยคิดสึกออกไปเป็นฆราวาสบ้างไหมครับ ?

อาตมาก็เคยคิดสึกเหมือนกัน แต่อาตมาคิดว่าบุญบวชของเรามันมีมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับความอยากสึกของเรา ทำให้การอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ก็เลยชนะกับการไม่สึกนั่นเอง สิ่งที่สำคัญอาตมาคิดแล้วการบวชอยู่อย่างนี้ก็ทำให้ชีวิตเรามีความสุข เป็นการปลงภาระและการครองเรือน ไม่ต้องไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่มีแต่ความวุ่นวายก็เท่านั้น แต่ถ้าถามจริงๆ ครั้งหนึ่งอาตมาก็อยากสึกเหมือนกันนะ (หัวเราะ)

มีเหตุอันใดที่ทำให้อยากสึกครับ ?

ครั้งนั้นด้วยความเป็นพระหนุ่มๆ ก็เกิดรักผู้หญิงเข้าคนหนึ่ง ก็ได้รีบหนีกลับมาอยู่ที่วัดอรัญบรรพต แต่ก็ไปเกิดรักใหม่จนต้องตัดสินใจแล้วว่าจะลาสึก และต่อมาอาตมาจึงเดินทางไปหาพระอุปัชฌาย์เพื่อลาสึก แต่ในคืนวันนั้นเองอาตมาได้พิจารณาเห็นถึงความทุกข์ในโลก จนในที่สุดจึงคลายจากความอยากสึกลงอย่างกะทันหัน จากนั้นอาตมาจึงได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาระวารีอีกครั้ง เป็นพรรษาที่ ๓ พอย่างเข้าเดือน ๑๐ อาตมาก็ล้มป่วยลง พอออกพรรษา พ่อจึงได้พามารักษาตัวที่วัดอรัญบรรพต เป็นการเจ็บป่วยที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด

หลังจากหลวงปู่ไม่คิดที่จะสึกแล้วได้มุ่งมั่นทำอะไรต่อครับ ?

ในปี ๒๔๗๖ อาตมาได้พบกับท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต ท่านอาจารย์บุญมาได้พาไปบวชเป็นพระธรรมยุติที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี ในพรรษาแรก ก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสาระวารี จ.อุดรธานี เมื่อออกพรรษาแล้วจึงธุดงค์ขึ้นไปพักวิเวก ที่ถ้ำผาปู่ และถ้ำผาบิ้ง จ.เลย

ต่อมาในปี ๒๔๗๗ จึงได้กลับลงมาจำพรรษาที่วัดอรัญวาสี จ.หนองคาย ในพรรษานี้อาตมาก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ด้วยการไม่นอนกลางวัน เมื่อค่ำลงจะทำความเพียร จนถึง ๔ ทุ่มจึงจำวัด พอถึงตี ๒ จึงลุกขึ้นทำความเพียรต่อ จนถึงสว่าง พอออกพรรษาอาตมาจึงธุดงค์ไปอยู่ที่ถ้ำผาบิ้งอีกครั้ง พอถึงเดือนหกก็ได้กลับมาที่วัดป่าบ้านค้อ ในวันออกพรรษาปีนั้นเอง

อาตมาได้ปฏิบัติธรรมด้วยการภาวนา ก็ทำให้จิตสงบลงเรื่อยๆ จนสงบดีแล้ว แต่พอมีเรื่องต่างๆ เข้ามากระทบ เช่น ทางตา ก็ทำจิตใจหวั่นไหว แก้อย่างไรก็ไม่ตก อาตมาจึงได้คิดถึงท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักเลย เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จากนั้นก็ชวนเพื่อนภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางมาหาท่านอาจารย์มั่นด้วยกันที่ จ.เชียงราย ในคืนวันหนึ่งที่ยังเดินไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงนอนอยู่ในป่าข้างทาง คืนนั้นได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น พอถึงรุ่งเช้าก็ได้ทราบว่าเพื่อนภิกษุก็ได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่นเช่นกัน พอสอบถามถึงลักษณะที่ปรากฏก็ทราบว่าเป็นเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ทำให้อาตมาแน่ใจว่า จะต้องได้พบท่านอาจารย์มั่นอย่างแน่นอน

แล้วได้ไปพบพระอาจารย์มั่นเมื่อไรครับ ?

ประมาณปี ๒๔๘๑ อาตมาก็ได้พบท่านอาจารย์มั่น เมื่ออาตมาเดินทางไปถึง จ.เชียงใหม่ ไปที่วัดเจดีย์หลวง ก็ได้พบกับหลวงตาเกต ซึ่งได้พาอาตมาไปพบท่านอาจารย์มั่น ที่ป่าละเมาะใกล้ๆ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในวันนั้นพระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาทแก่อาตมาว่า ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศเลย เขาทำใส่พื้นดินนี่แหละจึงได้รับผล ฉันใด โยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย ควรพิจารณาร่างกายนี้แหละเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามในรูปนี้ ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั่นแหละ จึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดในความสงบโดยส่วนเดียว

แล้วพระอาจารย์มั่นสอนอะไรให้กับหลวงปู่บ้างครับ ?

ก็สอนหลายอย่างเกี่ยวกับการทำวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งท่านก็สอนและเน้นย้ำนอกจากให้ตัวเราพิจารณาร่างกายให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็ให้วกเข้ามาสู่จิต จิตเป็นผู้รับรู้ โดยจิตนั่นแหละเป็นผู้เพ่งร่างกาย เมื่อเพ่งร่างกายเสร็จแล้วก็ให้ย้อนเข้ามาหาจิต ตั้งใจถามตอบตัวเองแบบนี้ว่า ร่างกายเป็นของเราหรือไม่ เมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นของเกิดของตายของดับ เป็นของไม่แน่นอน และจิตนั่นแหละก็จึงเป็นแก่นของชีวิต

จิตเป็นแก่นของชีวิตคืออะไรครับ ?

อ้าว !…ก็จิตมันไม่ตาย มันตายแต่ร่างกาย การเวียนว่ายตายเกิดก็มาจากจิตดวงเดียวนี้นั่นแหละ จะว่าไม่เป็นแก่นอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นภพหน้าชาติหน้า จิตดวงนี้แหละก็ต้องตามพวกเราทั้งหมด ร่างกายจะไปได้ที่ไหนล่ะ เมื่อร่างกายถูกไฟเผาร่างกายก็เหลือแต่กระดูกเป็นเถ้าถ่านไปหมด ดังนั้น จิตดวงเดียวถ้าผู้นั้นยังไม่สิ้นกิเลส มันก็มีบาปมีบุญติดตามไป และบาปบุญนั่นแหละที่จะนำดวงจิตไป และถ้าทุกคนสิ้นหรือหมดจากกิเลสแล้วก็จะไม่มีอะไรนำก็จะเป็นการนิพพานนั่นเอง

แสดงว่าหลวงปู่เชื่อชาติหน้ามีจริงซิครับ ?

ก็มีจริงซิ (หัวเราะ) ถ้าไม่มีจิตเรานั้นจะไปได้อย่างไรกัน แต่ที่คนเรายังไม่ค่อยเชื่อเรื่องชาติหน้าชาตินี้หรืออย่างเรื่องนรกสวรรค์ อาตมาก็อยากให้เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้นั่นแหละ หากถามอาตมาว่าคนทั่วไปทำไมเชื่อก็เป็นเรื่องของคนที่ยังมองไม่เห็น มองแล้วยังไม่รู้เพราะยังไม่สิ้นกิเลส

หลวงปู่สร้างวัตถุมงคลบ้างหรือเปล่าครับ ?

อาตมาไม่ได้สร้างวัตถุมงคลเลย มีแต่ลูกศิษย์เขาสร้างกันมาให้อาตมาก็แจกหมดเลย ตอนนี้เลยไม่มี (หัวเราะ) จริงๆ อาตมามองว่า วัตถุมงคลไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อาตมาเห็นถึงคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะคุณของพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่รูปหรือเหรียญ แต่อยู่ที่ใจของคนเราต่างหาก เมื่อใจเชื่อเลื่อมใสภาวนาทำใจให้สงบลงได้ พระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ที่ใจได้กลายมาเป็นความสงบนั่นเอง

แล้วทำไมคนเราบางส่วนยังยึดติดอยู่กับวัตถุมงคลครับ ?

สังคมทุกวันนี้เป็นเหมือนมีค่านิยมแบบใหม่ตามๆ กันไป เมื่อมีผู้หนึ่งจัดทำ หรือบางคนถือแขวนพระนั้นติดตัว ผู้อื่นก็อยากได้บ้าง ก็ทำให้คนเราแสวงหาต่อๆ กันไป บางครั้งกระแสข่าวว่า หลวงพ่อนั้นหลวงพ่อนี้มีความวิเศษแบบนั้นแบบนี้ก็เชื่อต่างก็หลั่งไหลกันไปขอไปบูชา เขาจึงเรียกว่า มงคลตื่นข่าว เพราะพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ให้เชื่อเรื่องมงคลตื่นข่าว แต่ให้เชื่อเรื่องกรรม ให้เชื่อเรื่องผลของกรรม เราทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

บางคนรอดตายแล้วบอกว่ามีพระดีเป็นไปได้ไหมครับ ?

ถ้าให้อาตมามองถึงเหตุปัจจัย เป็นเพราะว่าบุคคลนั้นกรรมตายโหงไม่มี ชาติที่แล้วอาจสร้างบุญกุศลไว้มาก บุญกุศลนั่นแหละที่ตามรักษาเขา หรือที่เขาเรียกกันว่าบุญเก่านั่นแหละ ถ้าผู้นั้นมีกรรมมีเวร กรรมเวรตามสนองก็ตายโหง ถ้ากรรมเวรนั้นไม่มีก็ไม่ตาย และปาฏิหาริย์มีจริงก็เกิดขึ้นได้เฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียวนั่นแหละ แม้แต่อาตมาเองก็ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ไม่ได้ดอก (หัวเราะ)

ตอนนี้สุขภาพหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้างครับ ?

สุขภาพของอาตมาก็เป็นไปตามสภาพของคนแก่ ดีบ้างสุขบ้าง ทุกข์บ้าง มันก็เป็นไปแบบนั้น กำลังแรงกายของอาตมาก็ไปไหนมาไหนก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน แต่อายุจะยืนยาวนานแค่ไหนก็แล้วแต่บุญกรรมจะนำพาชีวิตอาตมาไป อาตมาเลยบอกไม่ได้ว่าจะอยู่อีกกี่ปี (หัวเราะ)

สุดท้ายนี้หลวงปู่อยากให้ธรรมะอะไรกับผู้อ่านบ้างครับ ?

พุทโธ พุทโธ เป็นยอดกรรมฐาน การภาวนาพุทโธๆ ในใจบ่อย ทำให้ใจเย็นสบาย เพ่งจนพุทโธไม่ถอย เพ่งลงไปจนหายใจเกิดเป็นความสงบ รวมกันเป็นหนึ่งลงไป พุทโธก็คือ เป็นผู้ที่ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว ภาวนาพุทโธไปแล้วจิตใจก็เบิกบานผ่องใส ตื่นที่อาตมาว่านี้ ก็คือการตื่นจากความหลง ไม่หลงใหลไม่เชื่ออะไรที่งมงาย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เชื่ออะไรงมงาย และเราเกิดมาในชาตินี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลก สมควรที่จะลงมือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์โดยความไม่ประมาท กิเลสบาปกรรมจะได้น้อยเบาบางจากดวงจิตของตน การที่คนเราจะพ้นทุกข์ไปไม่ได้ก็เพราะไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง