กระชายดำ ชื่อวิทยาศาสตร์: Kaempferia parviflora (KP) หรือว่านกำบัง ว่านจังงัง เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นมีปุ่มปม ลักษณะคล้ายกระชาย แต่เนื้อในหัวเป็นสีม่วง เมื่อแก่สีจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ผิวด้านนอกสีเหลือง ใบเดี่ยว แทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด สีขาวแต้มชมพู
เป็นพืชที่มีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร สารสกัดจากกระชายดำมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย เชื้อราและไมโครแบคทีเรีย ต้านการเกิดโรคภูมิแพ้และต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ในสัตว์ทดลองพบว่า มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดงที่ถูกแยกออกจากกายของหนูขาว และสร้างไนตริกออกไซค์(NO) บริเวณเยื่อบุหลอดเลือดดำของรกเด็ก กระชายดำในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงอยู่ที่จังหวัดเลย นอกจากนั้นยังเชื่อว่าเป็นยาบำรุงกำลัง นักรบสมัยก่อนจะนำหัวไปปลุกเสกแล้วอมเวลาต่อสู้ เชื่อว่าทำให้คงกระพัน
กระชายดำแตกต่างจากกระชายทั่วไป (ที่ใช้เป็นเครื่องแกง) คือ กระชายทั่วไปใช้ส่วนที่เป็นราก (tuber) ซึ่งงอกออกมาจากเหง้า (ลำต้นที่อยู่ใต้ดิน) มีกาบใบและใบซ้อนโผล่ขึ้นอยู่เหนือดิน ส่วนกระชายดำมีลำต้นอยู่ใต้ดิน (rhizome) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าหัว ลักษณะคล้ายขิง หรือขมิ้นแต่มีขนาดเล็กกว่า ใบใหญ่และมีสีเขียวเข้มกว่ากระชายทั่วไป ขนาดใบกว้างประมาณ 7 – 15 ซม. ยาว 30 – 35 ซม. ใบมีกลิ่นหอม ประกอบด้วยกาบใบมีสีแดงจาง ๆ และหนาอวบ กำเนิดมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ลำต้นมีความสูงประมาณ 30 ซม.
ดอกออกจากยอด ช่อละหนึ่งดอก มีใบเลี้ยง ดอกมีสีชมพูอ่อน ๆ ริมปากดอกสีขาว เส้าเกสรสีม่วง เกสรสีเหลือง กลีบรองกลีบดอกเชื่อมติดกันมีลักษณะเป็นรูปท่อ มีขน โคนเชื่อมติดกันเป็นช่อยาว เกสรตัวผู้จะเหมือนกับกลีบดอก อับเรณูอยู่ใกล้ปลายท่อ เกสรตัวเมียมีขนาดยาวเล็ก ยอดของมันเป็นรูปปากแตรเกลี้ยงไม่มีขน หัวมีสีเข้ม แตกต่างกัน ตั้งแต่สีม่วงจาง ม่วงเข้ม และดำสนิท (ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ความแตกต่างของสีขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม อายุ หรือพันธุกรรม) สีของหัวเมื่อนำไปดองสุราจะถูกฟอกออกมา
พันธุ์ในปัจจุบันยังไม่มีการรวบรวมและจำแนกพันธุ์อย่างเป็นทางการ แต่หากจำแนกตามลักษณะของสีของเนื้อหัว พอจะแยกได้ 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ที่มีเนื้อหัวสีดำ สีม่วงเข้ม สีม่วงอ่อนหรือสีน้ำตาล
ส่วนใหญ่แล้ว จะพบกระชายที่มีสีม่วงเข้มและสีม่วงอ่อน ส่วนกระชายที่มีสีดำสนิทจะมีลักษณะหัวค่อนข้างเล็ก ชาวเขาเรียกว่า กระชายลิง ซึ่งมีไม่มากนักจัดว่าเป็นกระชายที่มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด
กระชายดำแบบหัวสด ใช้เหง้า (หัวสด) ประมาณ 4 – 5 ขีด ต่อสุราขาว 1 ขวด ดองสุราขาวดื่มก่อนรับประทานอาหารอาหารเย็นปริมาณ 30 ซีซี. หรือฝานเป็นแว่นบาง ๆ แช่น้ำดื่ม หรือจะดองกับน้ำผึ้ง ในอัตราส่วน 1: 1 กระชายดำแบบหัวแห้ง หัวแห้งดองกับน้ำผึ้งแท้ในอัตราส่วน 1:1 นาน 7 วัน แล้วนำมาดื่มก่อนนอน กระชายดำแบบชาชง ผงแห้งกระชายดำ 1 ซอง ชงน้ำร้อน 1 แก้ว (ประมาณ 120 ซีซี.) แต่งรสด้วยน้ำตาล หรือน้ำผึ้งตามต้องการ
ระชายดำสามารถขยายพันธุ์โดยใช้แง่งหรือเหง้าซึ่งเป็นส่วนของลำต้นใต้ดิน โดยทั่ว ๆ ไปจะใช้ส่วนของเหง้าเป็นท่อนพันธุ์ในการปลูก กระชายดำชอบดินร่วนซุย ไม่ชอบน้ำขังหรือดินที่มีการระบายน้ำไม่ดีเนื่องจากจะเน่าเสียโดยเฉพาะดินที่มีสภาพเป็นกรด เมื่อมีฝนชุกหรือความชื้นในดินสูง จะทำให้เกิดโรคเหง้าเน่า สามารถปลูกกลางแจ้งจนถึงมีแสงแดดพอควร ส่วนต้นเหนือดินมักจะยุบหรือแห้งเมื่อเข้าฤดูแล้ง ส่วนใหญ่จะเก็บเหง้าแก่เมื่ออายุ 10-11 เดือนหลังปลูก สีของกระชายดำถึงจะเข้มเต็มที่
การปลูกกระชายดำจะเริ่มเตรียมดินในช่วงต้นเดือนมีนาคม และจะปลูกต้นเมษายนของทุก ๆ ปี สำหรับการปลูกในแปลงใหญ่ และกลางแจ้ง ส่วนเหง้าที่นำมาปลูกนั้นผู้ควรทำการแบ่งเหง้าให้เป็นหัวเล็ก ๆ มีตาที่จะปลูก 2-3 ตาเพื่อการงอกที่มีคุณภาพ ทั้งนี้เมื่อเริ่มมีฝน หรือพายุฤดูร้อนก็สามารถทำการปลูกได้
ประโยชน์และสรรพคุณกระชายดำ
- ใช้บำรุงกำลัง
- แก้ปวดเมื่อยและอาการเหนื่อยล้า
- ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
- ช่วยขับลมพิษ
- เป็นยาอายุวัฒนะ
- แก้จุกเสียด แก้ปวดท้อง
- โขลกกับเหล้าขาวคั้นน้ำดื่ม แก้โรคมดลูกพิการ มดลูกหย่อน
- ใช้กวาดคอเด็ก แก้โรคตานซางในเด็ก
- ต้มดื่มแก้โรคตา
- ช่วยบำรุงฮอร์โมนเพศชาย
- บำรุงผิวพรรณของสตรีให้สดใส เปล่งปลั่ง ฟื้นฟูผิวให้สวยนุ่ม
- บำรุงประสาท
- แก้อาการนอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืน
- บำรุงโลหิตของสตรี
- รักษาโรคภูมิแพ้
- ช่วยขับลม แก้ท้องอืด
- ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
- แก้อาการตกขาวของสตรี
- แก้อาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติของสตรี
- ช่วยรักษากลากเกลื้อนและติดเชื้อผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา
- รักษาโรคเกาต์
- แก้อาการเหน็บชา
- ใช้ต้มกับน้ำให้สตรีหลังคลอดบุตรดื่ม จะช่วยขับน้ำนม รักษาอาการตกเลือด
- ในการใช้กระชายดำแบบพื้นบ้านในสมัยก่อนนั้น จะนำมาทำเป็นยาลูกกลอน คือ เอาผงแห้งมาผสมน้ำผึ้งและปั้นเป็นลูกๆ หรือนำมาดองเหล้า (ในอัตราส่วน 1 กิโลกรัม : เหล้าขาว 3 ขวด : น้ำผึ้ง 1 ขวด) ดองทิ้งไว้ประมาณ 9 – 15 วัน แล้วนำมาใช้ดื่มวันละ 1 – 2 เป๊กกระชายดำไม่ได้เป็นยาปลุกอารมณ์ทางเพศ แต่ระยะเวลาการแข็งตัวที่นานขึ้น และสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาดังกล่าวก็สามารถรับประทานเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรกขึ้นได้)หากสุภาพสตรีทานแล้วจะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนทางเพศ ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ช่วยในการนอนหลับ แก้อาการนอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืน ช่วยทำให้นอนหลับดีขึ้น เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ใช้เป็นยาบำรุงอย่างดีเป็นสมุนไพรที่ใช้ได้ทั้งชายและหญิงเพราะมีสรรพคุณเฉพาะตัวสำหรับเพศชายและเพศหญิง
รูปแบบและขนาดวิธีการใช้
สำหรับวิธีการใช้ประโยชน์กระชายดำเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้โรคบิด และลมป่วงทุกชนิด
ถ้าเป็นเหง้าสด ให้ใช้ประมาณ 4 – 5 นำมาดองกับเหล้าขาว 1 ขวดก่อนนำมารับประทานเป็นอาหารเย็น ในปริมาณ 30 cc. หรือ จะฝานเป็นแว่นบางๆ แช่กับน้ำดื่ม หรือนำมาดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1:1 หากเป็นเหง้าแห้งก็ให้ใช้ดองกับน้ำผึ้งในอัตราส่วน 1 ต่อ นาน 7 วัน แล้วนำมาใช้ดื่มก่อนนอน หากเป็นแบบชงหรือแบบผง ให้ใช้ผงแห้ง 1 ซอง ชงกับน้ำร้าน 1 แก้ว (ขนาน 120 cc.) และแต่งรสด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำตาลตามความต้องการ แล้วนำมาดื่ม
Black galingale Scientific name: Kaempferia parviflora (KP) or Kampung Wan Changnang is a plant in the family. Zingiberaceae herbaceous The stem is knotted. look like Kaempferia but the flesh inside the head is purple When the color becomes darker, the outer surface is yellow, a single leaf stabs up from the tuber, a bouquet of flowers out at the tip. white with pink
It is a plant that has medicinal properties. Black galingale extract has antimalarial activity. Fungi and microbacteria Anti-allergy and anti-ulcer In experimental animals, it was found that It has the effect of dilating the arteries that are separated from the body of the rats. and create nitric oxide (NO) in the vein lining of the child’s placenta The famous black galingale in Thailand is in Loei Province. It is also believed to be a tonic. The warriors in the past would conjure up their heads and save them when fighting. believed to be invulnerable
Kaempferia is different from common Kaempferia. (used as a curry) is a common Kaempferia using the root (tuber) which grows from the rhizome. (The stem that is underground) has leaf sheaths and leaves appearing above the soil. The black galingale has underground stems (rhizome), commonly known as heads. Ginger or turmeric, but smaller The leaves are larger and darker green than common Krachai. The leaves are about 7 – 15 cm wide, 30 – 35 cm long. Fragrant leaves consist of faint red bracts and thick plump, originating from underground tubers. The stem is about 30 cm tall.
Flowers from the tops, one per bunch, with cotyledon leaves, pale pink flowers, white rims. purple stamens, yellow stamens, secondary petals connected together, looks like a tube, hairs, bases are connected in a long bouquet. The stamens are like petals. The anthers are near the end of the pipe. The pistils are long, small. Its crest is a smooth, hairless horn-shaped horn, its head is dark, varying from pale purple to deep purple and completely black. The color difference depends on the environment, age or genetics).
Currently, the cultivar has not been formally collected and classified. But if classified according to the nature of the color of the head meat, it is enough to distinguish 3 species, namely the species with black head, dark purple, light purple or brown.
Most of the time Krachai is found with dark purple and light purple. The black galingale has a relatively small head. The hill tribe people call it Kaempferia Ling, which is not a lot of Kaempferia which is a quality that is in demand in the market.
Fresh headed black galingale, using rhizomes (fresh heads) about 4 – 5 points per 1 bottle of white liquor, pickled white liquor, drink before dinner, 30 cc. or slice into thin glasses, soak in drinking water or be pickled with honey. Ratio 1:1 Dried Black Galingale Pickled dried tubers with real honey in a ratio of 1:1 for 7 days and then drink before bedtime. black galingale tea Dried black galingale powder 1 sachet, brew 1 cup hot water (about 120 cc.), taste with sugar. or honey as needed
Black mangroves can be propagated using rhizomes or rhizomes, which are part of the underground stem, generally using the rhizome as a stem in planting. Kaempferia likes Sui loam. It does not like waterlogged or poorly drained soils as it will rot, especially acidic soils. When there is heavy rain or high soil moisture will cause rhizome rot Can be planted outdoors until there is enough sunlight. The above-ground stems tend to collapse or dry up in the dry season. Most of the old rhizomes are collected at the age of 10-11 months after planting. The color of the black galingale is completely dark.
The black galingale planting will begin to prepare the soil in early March. And will be planted in April of every year for planting in large plots and outdoors, the rhizome to be planted, the rhizome should be divided into small tubers with 2-3 buds to plant for quality germination. However, when it started to rain or summer storms can be planted
Benefits and properties of black galingale
- use to nourish
- Relieve pain and fatigue
- improves sexual performance
- helps drive hives
- is an elixir
- Relieve colic, relieve stomachache
- pounded with white wine, squeezed drinking water Cure cervical dysplasia, prolapsed uterus
- sweep the child’s neck Cure dandruff in children
- Boil and drink to cure eye disease.
- Helps maintain testosterone
- Nourish the skin of women to be bright, radiant, restore the skin to be beautiful and soft.
- nourish the nerves
- Relieve insomnia at night
- nourish the blood of women
- allergy treatment
- Helps expel wind, relieve flatulence
- Help the digestive system work better.
- Relieve white discharge in women
- Relieve irregular menstruation in women
- Helps treat ringworm and skin infections caused by fungi.
- treat gout
- Relieve beriberi
- Used to boil with water for women after childbirth to drink. will help drive milk Hemorrhage treatment
- In the traditional use of black galingale in the old days. It will be made into a bolus, that is, dry powder is mixed with honey and molded into balls. or to pickle liquor (in the ratio of 1 kg: 3 bottles of white wine: 1 bottle of honey) and leave it for about 9-15 days and then be used to drink 1-2 times a day. but a longer erection period And for those who do not have such problems, it can be eaten to help increase the first hardness) If a woman eats it will help balance the sex hormones. stimulates the nervous system make the body rejuvenated help to sleep Relieve insomnia at night Helps to sleep better increase sexual performance It is used as a tonic as well as an herb that can be used by both men and women because of its unique properties for both males and females.
Form and size how to use
For how to use the black galingale as an elixir Used as a pain reliever, cure dysentery and all kinds of diarrhoea.
• If the rhizome is fresh, use about 4 – 5 to be pickled with 1 bottle of white wine before eating for dinner in the amount of 30 cc. or will be sliced into thin glasses. Soak with drinking water Or be pickled with honey in a ratio of 1:1 • If the rhizome is dry, then use the pickle with honey in a ratio of 1 to 7 days and then used to drink before bedtime.
• If it is a brew or powder form, use 1 sachet of dry powder mixed with 1 cup of water (120 cc. parallel) and flavor with honey or sugar as needed and drink.